สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ปัจจุบันหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์แต่งงานกันค่อนข้างช้า ส่งผลให้ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่ตัดสินใจเป็นเจ้าสาวแต่งงานมีครอบครัวจะอยู่ที่ประมาณ 35-38 ปี ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้การตรวจสุขภาพแบบ Pre-Screening จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อวิเคราะห์ความพร้อมของคู่บ่าวสาวที่กำลังจะแต่งงงานและวางแผนจะมีบุตร เพราะการตรวจสุขภาพในรูปแบบดังกล่าวจะมีการตรวจเช็คตั้งแต่ระดับฮอร์โมน สภาวะมดลูกและรังไข่ ความแข็งแรงสมบูรณ์ของน้ำเชื้อฝ่ายชาย เพื่อเพิ่มโอกาสของการมีบุตรที่มากขึ้น

จากข้อมูลของ นพ.พูลศักดิ์ ไวความดี ผู้อำนวยการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากและส่งเสริมสุขภาพสตรี (Fertility and Women Wellness Clinic) แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการเจริญพันธุ์ BDMS Wellness Clinic ระบุว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องการทำงาน การวางแผนสร้างครอบครัว แต่ลืมไปว่าการวางแผนมีบุตรมีความสำคัญไม่แพ้กัน
การวางแผนครอบครัวสำคัญอย่างไร
สำหรับผู้หญิง ตั้งแต่แรกเกิดจะมีไข่ในรังไข่จำนวนมากเกือบ 4-5 แสนฟอง และจะลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพตามปัจจัยต่างๆ ของร่างกาย การบำรุงรักษาคุณภาพของไข่จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในผู้หญิง โดยช่วงเวลาของวัยเจริญพันธุ์ อยู่อายุระหว่าง 20-35 ปี การวางแผนมีบุตรจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น บางคนที่ไม่ได้ตั้งใจโสด แต่สนุกกับการทำงาน ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี กว่าจะนึกได้ก็อายุขึ้นหลัก 3 แล้ว

ส่วนหนุ่มๆ แม้ว่าวัยทองจะมาถึงช้ากว่า แต่ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นผลให้ตัวอสุจิไม่แข็งแรงก็มีไม่น้อยเช่นกัน การเตรียมตัวมีบุตรต้องทราบว่า สุขภาพของทั้งคู่มีปัญหาอะไรที่จะส่งผลต่อรังไข่และลูกอัณฑะหรือไม่ นอกจากนี้ การตรวจวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของอสุจิ รูปร่างความผิดปกติต่างๆ ก็มีความสำคัญ เพื่อวิเคราะห์ถึงการแตกหักของหัวอสุจิ (DNA Fragmentation) หรือการคัดเลือกอสุจิสำหรับทำ IVF/ICSI/IUI ซึ่งการใช้เทคนิคนี้เรียกว่า MACs Sperm (Magnetic activated cell sorting Sperm) หรือการคัดเลือกอสุจิที่มีความแข็งแรงที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ และได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพเชิงลึก ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการวางแผนการมีบุตรและป้องกันการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่สู่ลูก เรียกว่า การตรวจดีเอ็นเอ วิธีนี้จะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นพิมพ์เขียวสำหรับวางแผนปรับพฤติกรรมในแบบเฉพาะบุคคล ช่วยลดความเสี่ยงมีบุตรที่มีภาวะผิดปกติ เช่น เมื่อทราบว่าคู่สมรสเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมียก็สามารถวางแผนป้องกัน ให้โรคธาลัสซีเมียหยุดลงแค่ที่พ่อแม่ ไม่ถ่ายทอดไปยังลูก รวมถึงกรณีคนที่มีประวัติแท้งบ่อย พบว่าร้อยละ 90 ของการแท้งเกิดจากดีเอ็นเอของตัวอ่อนมีความผิดปกติ ทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์หยุดก่อนครบกำหนด

อย่างไรก็ตาม การวางแผนมีบุตร คุณหมอแนะนำว่า ควรมีเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน โดยการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิต ตั้งแต่การรับประทานอาหาร นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การดูแลสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งเข้ารับการปรึกษาแพทย์เพื่อการเตรียมตัวอย่างถูกวิธี
ยังไม่หมดแค่นั้นนะ เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะวางแผนมีบุตร ยังควรเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตรตาม 11 ข้อแนะนำ ดังนี้
1.เข้ารับการปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตรวจสุขภาพคู่สามี ภรรยา เพื่อเตรียมความพร้อม รวมทั้งประเมินความเสี่ยงในด้านต่างๆ

2.รับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบหมู่ อาหารบางอย่างสามารถกระตุ้นรังไข่ และสเปิร์ม เช่น กลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมาก คือตระกูลเบอร์รี่ อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น อะโวคาโด ถั่วต่างๆ น้ำมันมะกอก
3.หลีกเลี่ยงของหวาน การที่รับประทานของหวานมากเกินไปจะทำให้ร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งมีโอกาสทำให้ไข่ตก หรือรังไข่ทำงานลดลง
4.ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับมาตรฐาน พบว่าคนที่อ้วนมักมีปัญหาไข่ไม่ตก
5.การนอนหลับให้มีคุณภาพ โดยเข้านอนไม่เกิน 22.00 น. และนอนหลับให้ได้ประมาณ 8-9 ชั่วโมง/วัน
6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วันละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
7.การดูแลสุขภาพใจเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ภาวะเครียดทำให้ปริมาณไข่และอสุจิลดลง

8.สารอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อสุขภาพของทารกในครรภ์คือ ธาตุเหล็ก โปรตีน กรดโฟลิคหรือโฟเลต วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี รวมทั้งวิตามินดีจากแสงแดด
9.ตรวจสภาพมดลูกและรังไข่ว่าไม่มีการอักเสบ เพราะการผลิตไข่ในแต่ละครั้งคุณภาพขึ้นกับสุขภาพเจ้าของรังไข่
10.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ทั้งมือหนึ่ง (Firsthand Smoke) และมือสอง (Secondhand Smoke) ก่อนตั้งครรภ์ 3-6 เดือน
11.ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเจริญพันธุ์หรือการมีบุตรทางวิทยาศาสตร์ (IVF: In-vitro Fertilization) หรือ อิกซี่ (ICSI : Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการมีบุตร

เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะวางแผนมีบุตรอย่าลืมเอาคำแนะนำของคุณหมอไปปรับใช้กันนะคะ เพื่อสุขภาพของลูกน้อยที่แข็งแรง
ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ.พูลศักดิ์ ไวความดี ผู้อำนวยการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยากและส่งเสริมสุขภาพสตรี (Fertility and Women Wellness Clinic) แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการเจริญพันธุ์ BDMS Wellness Clinic และ sanook