เทรนด์แฟชั่นที่สาวๆ ให้ความสนใจกันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา คือ การทำเล็บ ทั้งการต่อเล็บ หรือทำสีใหม่ โดยมีสีใหม่ และแฟชั่นรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเลือกแฟชั่นทำเล็บได้ตามความชอบของแต่ละคน แต่รู้มั้ย?ว่า การทำเล็บบ่อยๆ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของเล็บตามมาได้ เพื่อให้สาวๆ ที่ทำทาสีเล็บยังมีสุขภาพเล็บที่ดี สามย่านมิตรทาวน์ เลยอยากชวนเพื่อนๆ มารู้จักวิธีการดูแลเล็บให้มีสุขภาพดี พร้อมกับเลือกวิธีทำเล็บให้ปลอดภัย และมีสุขภาพแข็งแรง บอกเลยเป็นวิธีง่าย อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะไปดูกันเลย

สำหรับคำแนำแรกที่สาวๆ ควรรู้ไว้คือ การทำความรู้จักกับเล็บที่มีสุขภาพที่ดีนั่นก็คือ การเลือกสีทาเล็บที่มีสีออกชมพูจางๆ มีพื้นผิวเรียบ เพื่อให้ผิวหนังรอบเล็บมีความแข็งแรง ไม่ถอยร่นและมีความหนาไม่มากหรือ น้อยเกินไป
ส่วนสาวๆ ที่ชื่นชอบไปร้านทำเล็บ ก็มี 7 ข้อควรระวังในการทำเล็บ ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการโกนขนหน้าแข้งและที่เท้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนไปทำเล็บ
2.อย่าให้ช่างตัดหนังหรือดันผิวหนังที่โคนเล็บ
3.ถ้ามีแผลที่เท้าหรือเล็บผิดปกติ หรือเป็นหูดอย่าไปทำเล็บหรือขัดเท้า
4.ให้เล็บมีช่วงเวลาที่พักจากการทำสีบ้าง โดยเพื่อนๆ ที่มีการใช้เล็บปลอม ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 เดือนและควรพักเล็บอย่างน้อย 1 เดือน
5.ควรใช้สีทาเล็บที่เป็นแบบ pigment powder gel จะดีกว่า UV/LED-cured gel
6.ไม่ควรให้ช่างทำเล็บใช้หินขัดเท้าหรือุปกรณ์ขัดเท้าที่อาจทำให้ผิวหนังเป็นแผลได้
7.ควรมีอุปกรณ์ในการทำเล็บส่วนตัว นำไปให้ช่างทำเล็บ เพื่อให้ทำเล็บกับเรา จะดีกว่าการใช้อุปกรณ์ของทางร้าน

สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับเล็บเกิดขึ้น อาการที่ควรไปพบแพทย์ คือ
1.ผิวหนังรอบเล็บเป็นผืนลอกหรือบวมแดง อาจเกิดจากการระคายเคืองของน้ำยาล้างจานหรือ แพ้ยาทาเล็บ
2.ปลายเล็บร่อนจากผิวหนังใต้เล็บ อาจเกิดจากการล้างมือบ่อยหรือ เป็นโรคสะเก็ดเงิน
3.เล็บหนาผิดปกติร่วมกับมีสีน้ำตาล หรือสีเข้มอื่นๆ หรือสีขาวจากเชื้อรา
4.เล็บมีพื้นผิวขรุขระหรือเป็นหลุม อาจเกิดจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคภูมิแพ้
5.เล็บเป็นสีดำโดยไม่มีประวัติการกระแทกกับของแข็ง อาจมีสาเหตุจากการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้
นอกจากนี้ สาวๆ ยังควรดูแลสุขภาพเล็บตาม 4 ข้อแนะนำ ดังนี้
1.การรักษาความสะอาดของเล็บอย่างสม่ำเสมอ
2.ถ้าล้างมือบ่อย ก็ควรทาครีมทาผิวบริเวณมือบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง
3.ควรตัดเล็บให้สั้น แต่ไม่ควรตัดเล็บตรงหรือโค้งเกินไป
4.ควรเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับเท้าและนิ้วเท้า เพื่อไม่ให้เล็บถูกบีบ หรือกดกับรองเท้า หรือ นิ้วข้างๆ จนทำให้เล็บผิดรูปหรือเล็บร่อน หรือมีสีคล้ำ

อีกสิ่งที่ควรรู้ คือ การใช้น้ำยาทาเล็บ อาจจะทำให้มีการแพ้เกิดขึ้นได้ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1-3% ของทั้งคนไปทำเล็บและช่างที่ทำเล็บให้เรา โดยสีที่มีการแพ้บ่อยคือ “สีแดง” อาการที่สังเกตได้ คือ หลังจากทาเล็บ 1-2 วัน รอบเล็บที่แพ้จะบวม แดง ชาที่ปลายนิ้ว บริเวณที่เล็บไปสัมผ้ส เช่น รอบตา ริมฝีปาก ใบหน้า ลำคอ เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้ไปโดนบริเวณนั้น ส่วนการต่อเล็บอะคริลิค และการทาสีเจล อาจมีอาการเล็บแห้ง หลุด ลอก และเล็บเปลี่ยนสีเกิดขึ้นได้
แนวทางที่จะป้องกันการแพ้คือ เลือกน้ำยาทาเล็บที่ปลอดจากสารเคมี ส่วนการรักษาทำได้โดยใช้ทายาที่มีส่วนผสมของ สเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ และใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อปกป้องชั้นผิวหนังกำพร้าจากการสัมผัสสารเคมี และสามารถไปทำ การทดสอบผื่นแพ้สัมผัส patch test โดยแพทย์ผิวหนัง

เพื่อนๆ ที่ชื่นชอบการทำเล็บ ก็ควรตรวจดูสุขภาพของเล็บอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างสุขภาพเล็บให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ทำให้การทำสีเล็บหรือการสร้างสรรค์แฟชั่นจากเล็บ ไม่เกิดปัญหากวนใจตามมา จะได้สวยและนำเทรนด์แฟชั่นกันได้ปังๆ ตลอด
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง