ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนๆ น่าจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิดพ่นจมูกกันมาบ้างแล้ว ซึ่งหลังจากมีกระแสข่าวดังกล่าวออกมาก็ทำให้มีผู้คนออกมาแสดงความคิเห็นกันในด้านต่างๆ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามมาเป็นระลอก เพื่อนๆ ล่ะ! มีความคิดเห็นเรื่องนี้กันยังไงบ้าง

จากความสนใจของวัคซีนชนิดดังกล่าว ล่าสุด ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาระบุว่า วัคซีนดังกล่าวยังมีจุดอ่อนใช้ได้เฉพาะบุคคลที่แข็งแรง ห้ามใช้ในผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ประเทศไทยได้เตรียมพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น เชื้อจะไวต่ออุณหภูมิที่สูง เมื่อพ่นเข้าจมูก จะติดเชื้ออยู่ในโพรงจมูกเท่านั้นไม่สามารถลงไปในปอดได้ เพราะจะทนอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาในร่างกายไม่ได้
ดังนั้น เชื้อจะกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานต่อไข้หวัดใหญ่ เหมือนกับติดเชื้อในธรรมชาติ ซึ่งในปีนั้น ประเทศไทย ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศรัสเซีย และพยายามจะนำมาพัฒนาไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น สายพันธุ์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งหากใครยังจำได้จะรู้ว่าการพัฒนายังไม่ไปถึงไหน เพราะถึงทำขึ้นมา ก็ไม่ตอบสนองวัตถุประสงค์ในการป้องกันการป่วยตาย ด้วยเหตุนี้ องค์การเภสัชกรรมจึงเปลี่ยนการพัฒนามาเป็นเชื้อตายทีหลัง ทำให้วัคซีนที่ใช้อยู่ปัจจุบันในประเทศไทยเป็นเชื้อตายทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี หากมองไปที่ต่างประเทศก็มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ที่ใช้พ่นจมูกในอเมริกา และทางกลุ่มประเทศตะวันตก ภายใต้ชื่อ FluMist ของบริษัท MedImmune ซึ่งวัคซีนดังกล่าวเป็นกลุ่มวัคซีนเชื้อเป็น มีรูปแบบการใช้เป็นแบบสเปรย์ใส่จมูก ไวรัสนี้จะไม่ทนความร้อน ไม่สามารถลงปอดได้ เนื่องจากเป็นเชื้อเป็น จึงไม่สามารถให้ได้ในกลุ่มผู้มีภูมิต้านทานอ่อนแอ เช่นเด็กเล็กต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปี ผู้ที่กินยากดภูมิต้านทาน ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง คนท้อง และผู้ที่กินยาอักเสบ aspirin เพราะว่าจะเกิด Reye syndrome
และหากสรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ กลุ่มเสี่ยงที่เป็นไข้หวัดใหญ่จะได้รับอันตรายเป็นปอดบวมถึงชีวิต เพราะไม่สามารถให้วัคซีนในรูปแบบสเปรย์ใส่จมูกได้ เพราะมีภูมิต้านทานอ่อนแอ ให้ได้เฉพาะคนแข็งแรงที่เป็นโรคแล้วอาการไม่รุนแรง ซึ่งในทางปฏิบัติจริง การใช้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะเน้นป้องกันกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ที่เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ถ้าวัคซีนใช้ได้เฉพาะคนที่แข็งแรงโดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่น จึงสวนทางกับความเป็นจริง ในจุดมุ่งหมายการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ที่ต้องการลดการป่วยตาย

ทำนองเดียวกันการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ถ้าไวรัสยังมีชีวิตอยู่ ข้อบ่งชี้ต่างๆก็คงจะต้องคล้ายกัน โดยเฉพาะในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ เพราะกลัวว่าไวรัสนี้จะแพร่กระจาย ทำให้เป็นข้อห้าม ในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง และเด็กเล็ก ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มเสี่ยง ของโรคโควิด-19 ดังนั้น การใช้วัคซีนพ่นจมูกจึงจะใช้ได้เฉพาะบุคคลที่แข็งแรง เหมือนวัคซีนพ่นจมูกไข้หวัดใหญ่ ซึ่ง ศ.นพ.ยง ระบุว่า จะไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะบุคคลดังกล่าวเหล่านั้น ติดเชื้อเป็นโควิด -19 ก็อาการไม่รุนแรง โอกาสนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตน้อยมาก ด้วยจุดอ่อนของวัคซีนพ่นจมูกไข้หวัดใหญ่ ที่มีดังกล่าว จึงไม่มีการนำมาใช้ในประเทศไทย ทั้งที่การใช้สะดวกมาก
จากข้อมูลที่คุณหมอเล่ามา การใช้วัคซีนในรูปแบบปักเข็มฉีดยาก็น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้แบบพ่นสเปรย์ และที่สำคัญไปกว่านั้นการใช้วัคซีนแบบพ่นสเปรย์ยังไม่แพร่หลายและยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ และเพจศูนย์ศูนย์ข้อมูลโควิด-19