เพื่อนๆ รู้จักงานแสดงนิทรรศการที่ใหญ่สุดในโลกกันบ้างมั้ย? โดย 1 ใน 3 ของงานแสดงนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นก็คือ “งานเวิลด์เอ็กซ์โป” (World Expo) มหกรรมนวัตกรรมระดับโลก เป็นงานแสดงนิทรรศการความก้าวหน้าและนวัตกรรมของแต่ละประเทศ ที่จัดขึ้นในทุก 5 ปี งานนี้เป็นการจัดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมหกรรมโลก (Bureau of International Exposition (BIE) ซึ่งในปัจจุบันได้มีการจัดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และมีประเทศต่างๆ สนใจเข้าร่วมถึง 192 ประเทศ
งานเวิลด์เอ็กซ์โปที่จัดขึ้นในปีนี้ใช้ชื่อว่า “World Expo 2020 Dubai” ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง มีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2564-31 มี.ค. 2565 ยาวนานถึง 6 เดือน และประเทศไทยก็ได้เข้าร่วมในงานนี้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้เพื่อนๆ รู้จักงานยิ่งใหญ่ระดับหนึ่งในสามของโลก และมีความเข้าใจงานนี้กันมากขึ้น สามย่านมิตรทาวน์ จึงอยากชวนเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักงานนี้พร้อมกันว่าอลังการและมีความพิเศษในด้านใดบ้าง
1.การเตรียมงาน 8 ปี
การจัดขึ้นที่เมืองดูไบ ได้ใช้เวลาเตรียมการงานเป็นเวลาร่วม 8 ปีเลย นับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพตั้งแต่ปี 2013 โดยมีความพิเศษที่ได้เลือกนำพื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้ง ขนาด 4.3 ตารางกิโลเมตร หรือราว 2,700 ไร่ มาก่อสร้างเป็นพื้นที่จัดงานระดับโลก
2.งบประมาณก่อสร้าง 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การจัดงานใช้งบประมาณ 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 214,200 ล้านบาท โดยเป็นการจัดขึ้นตามหลังงานเวิลด์เอ็กซ์โป 2015 ที่นครมิลาน ประเทศอิตาลี ถือเป็นงานเวิลด์เอ็กซ์โปครั้งแรกที่จัดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งการเตรียมงานได้ใช้คนงานกว่า 200,000 คน ก่อสร้างอาคารแสดงและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หลายร้อยแห่ง
3.แนวคิดจัดงาน “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” มุ่งสู่ความสร้างสรรค์ยั่งยืน
การจัดงาน “World Expo 2020 Dubai” ได้นำเสนอแนวคิดคือ “Connecting Minds, Creating the Future” หรือ “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” เพื่อสื่อถึงการขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างผู้คน องค์กร และประเทศต่างๆ รวมถึงแบ่งปันความรู้ความก้าวหน้าทางนวัตกรรม และกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตอย่างยั่งยืน เป็นเทรนด์ของโลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน การดูแลรักษาโลก
5.งานที่พูดถึงความท้าทายของโลกและภาวะเศรษฐกิจ
การจัดงานได้มีการแบ่งเป็นหัวข้อย่อยคือ 1. โอกาส (Opportunity) 2. การขับเคลื่อน (Mobility) และ 3.ความยั่งยืน (Sustainability) โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ มุ่งเน้นการจัดแสดงด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยีและสถาปัตยกรรม ที่ใช้แนวคิดร่วมแรงความคิดเพื่อสร้างอนาคต มีการพูดถึงข้อท้าทายของโลกหลายอย่าง ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้ง และการประคองภาวะเติบโตทางเศรษฐกิจต่อจากนี้ไป
6.งานที่โลกคาดหวังว่าจะกระตุ้นท่องเที่ยว การลงทุน ธุรกิจทั่วโลก
การจัดงานในครั้งนี้ได้เลื่อนมาจากปีก่อนเพราะสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยหลายประเทศทั่วโลกและบริษัทขนาดใหญ่ในโลก มีความมั่นใจว่างานนี้ที่เป็นงานนิทรรศการใหญ่ระดับโลกครั้งแรกที่จัดขึ้นนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 จะเป็นการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวและการลงทุนการภาคธุรกิจทั่วโลกอีกครั้ง ซึ่งงานได้จัดขึ้นเป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 25 ล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก โดยได้มีการดูแลความปลอดภัยและป้องกันเรื่องโรคระบาดอย่างเข้มงวด
7.ประเทศไทยเข้าร่วมงานแสดงการขับเคลื่อนสู่อนาคต
ประเทศไทย ได้เข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการระดับโลกครั้งนี้ด้วย โดยจัดแสดง Thailand Pavilion ตั้งอยู่โซน Mobility จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต (Creating the Future) โดยอาคารมีขนาดพื้นที่ 3,606 ตรม. หรือ 2.25 ไร่ ถือเป็นพื้นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป
8.แรงบันดาลใจในการออกแบบอาคารรูปทรง “ศาลาไทย”
อาคารแสดงประเทศไทย เป็นหนึ่งในอาคาร Self-Build Pavilion การออกแบบได้นำเอาเสน่ห์ของคนไทย (Thai Hospitality) มาร้อยเรียงไว้ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชม ทั้งลวดลายการถักทอคล้ายม่านดอกไม้ (ดอกรัก) คล้ายกับพวงมาลัยที่ประดับประดาโดยรอบตัวอาคาร สอดคล้องไปกับสัญลักษณ์ของอาคารแสดงที่ใช้ “พวงมาลัย” เพื่อสื่อสารถึงมิตรภาพ และการต้อนรับที่จริงใจ อบอุ่น ส่วนสีได้เลือกใช้ “สีทอง” เป็นสีหลัก เพื่อสื่อถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ และยังเป็นสีที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคตะวันออกกลาง
สำหรับโครงสร้างออกแบบให้มีลักษณะเป็นซุ้มโค้งคล้ายคนประนมมือไหว้ สื่อความหมายถึงเอกลักษณ์งานสถาปัตยกรรมไทยอย่างศาลาหน้าจั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายการไหว้ที่งดงามมาเป็นทางเข้าตัวอาคารที่พร้อมเปิดต้อนรับทุกคนจากทั่วโลก อีกทั้งยังมี มาสคอตนำโชค โดยมีชื่ว่า“รัก”(RAK) และ“มะลิ”(MALI) สองพี่น้องตัวแทนประเทศไทยมาโชว์ในงานด้วย
9.ไฮไลท์ของงานนิทรรศการแต่ละประเทศ
ประเทศที่เข้าร่วมแสดงนิทรรศการในงานรวม 192 ประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็นำเสนอพาวิลเลี่ยน ที่ออกแบบมีความโดดเด่นและสวยงาม ดีไซนฺโดดเด่นแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ประเทศเจ้าภาพ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ได้ออกแบบอาคารตามแบบของปีกนกเหยี่ยว เป็นสัญลักษณ์ของความทรงพลังและความสง่างาม หลังคาจะประกอบด้วย “ปีก” ที่ปรับเคลื่อนไหวปรับทิศทางของการรับแสงอาทิตย์จำนวน 28 แผ่น เพื่อให้สามารถเก็บพลังงานได้มากที่สุด
ขณะที่ประเทศจีน ออกแบบตามหลักการของการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ของความหวังและอนาคตที่สดใส, สหราชอาณาจักร ออกแบบปะติมากรรมไม้ ที่มีความพิเศษตรงที่จะมีระบบรวบรวมคำที่ผู้เข้าชมส่งมาให้ และฉายขึ้นไปยังผิวหน้าของไม้เหล่า และไม้หลายชิ้นได้แสดงถึงความแตกต่างหลากหลาย เป็นต้น
10.งานเวิลด์ เอ็กซ์โป เวทีแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต้นแบบในโลก
หากย้อนกลับไปในอดีต งานเวิลด์ เอ็กซ์โป เป็นต้นแบบงานที่แสดงนวัตกรรมที่โดดเด่นในโลกมาอย่างยาวนาน ทั้ง มีการเปิดตัวหอไอเฟล ที่จัดขึ้นในกรุงปารีส ปี 1889 , มีการเปิดตัวโทรศัพท์เครื่องแรกของโลก ที่จัดขึ้นในประเทศสหรัฐปี 1876 และซอสมะเขือเทศ ที่ผลิตโดน ไฮนซ์ ที่เปิดตัวในงานเดียวกัน ส่วนในช่วง 100 ปีต่อมา ที่จัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัว โทรศัพท์ไร้สายต้นแบบ, ชิงช้าสวรรค์ ที่เปิดตัวในงานที่สหรัฐปี 1893 และเครื่องเอกซเรย์ ที่เปิดตัวในงานที่จัดขึ้นปี 1904 จึงต้องจับตาดูต่อไปว่าในปีนี้จะมีการแสดงนวัตกรรมจากประเทศใดที่จะเป็น นวัตกรรมของโลกในระยะต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีความน่าสนใจงานในด้านของการออกแบบ อาคารของประเทศทั่วโลกอีกมากมายเลย รวมถึงการแสดงผลงานความก้าวหน้าและนวัตกรรมของแต่ละประเทศ เพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากดูรายละเอียด และไปศึกษาข้อมูลต่างๆ ก็สามารถเข้าไปดูได้เลยที่ www.expo2020dubai.com หรือเข้าไปดูของประเทศไทยได้ที่ https://www.expo2020dubaithailand.com/en/home/ งานนี้จัดยาวเป็นเวลาครึ่งปี นับเป็นอีกงานที่น่าสนใจ สามย่านมิตรทาวน์ เชื่อเลยว่า จะเป็นอีกงานที่ปลุกพลัง ความหวัง ของโลกใบนี้หลังสถานการณ์โควิด-19 อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ expo2020dubaithailand ,เพจ Expo2020Dubai , Workpoint Today และกรุงเทพธุรกิจ
