ชีวิตที่เร่งรีบของคนเมืองวัยทำงาน ทำอะไรก็ต้องเร่งรีบไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องกิน หรือเรื่องการเดินทาง ยิ่งยุคโควิดแบบนี้บางคนยังต้องทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ทำให้คนวัยทำงานแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะอาหารการกินก็ต้องกินแบบรีบๆ ไม่ค่อยมีเวลาเลือกกินของที่ดีต่อสุขภาพ จนทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด หรือบางครั้งก็ได้รับพลังงานส่วนเกิน

นอกจากนี้ บางคนยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา และเพื่อให้เพื่อนๆ วัยทำงานมีสุขภาพที่ดีขึ้น วันนี้ สามย่านมิตรทาวน์ มี 5 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะทำให้สุขภาพของเพื่อนๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝาก
1.กินอาหารให้ครบมื้อ และที่สำคัญอย่าลืมมื้อเช้า
โดยทั่วไปแล้วคนวัยทำงานจะมีความต้องการพลังงานอยู่ที่ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี ต่อวัน โดยแบ่งกระจายไปตามมื้อต่างๆ ทั้งมื้อหลักและมื้อว่าง แต่ด้วยความเร่งรีบอาจทำให้พนักงานออฟฟิศหลายๆ คนไม่มีเวลาเพียงพอต่อการกินอาหารมื้อเช้า ซึ่งจากการศึกษาจะพบว่าหากมีการอดอาหารมื้อเช้าจะทำให้ร่างกายไม่พร้อมต่อการทำงาน เช่น สมองเบลอ ไม่มีสมาธิในการทำงานจากความรู้สึกหิว ส่งผลต่อเนื่องให้การเลือกกินอาหารในมื้อกลางวันนั้นไม่ดีต่อสุขภาพตามไปด้วย เช่น การกินเยอะเกินไป การเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไอเดรต ไขมัน จำนวนมาก เป็นต้น จนท้ายที่สุดก็เกิดการขาดสารอาหารที่จำเป็น เเละการได้รับพลังงานส่วนเกินจำนวนมาก ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ในที่สุด

2.กินมื้อเที่ยงแบบไม่อ้วน
หลักการเลือกกินอาหารเที่ยงให้ดีต่อสุขภาพง่ายๆ เพียงแค่ใช้หลักการลด หวาน มัน เค็ม หรือจะใช้การลดหวานมันเค็มควบคู่ไปกับการกินอาหารตามหลักจานสุขภาพแบบง่ายๆ ที่เรียกว่า 2 1 1 โดยการแบ่งจานอาหารหรือกินอาหารให้มีผักเป็นครึ่งหนึ่งของจาน มีเนื้อสัตว์ และข้าว-แป้งอีกอย่างละ 1 ใน 4 ของจานนั่นเอง ควบคู่กับการสั่งอาหารโดยปรับเปลี่ยนให้ดีต่อสุขภาพ เช่น การเปลี่ยนจากไข่เจียวเป็นไข่ต้ม เลือกหมูชิ้นไม่ติดมันแทบหมูสับ เลือกเมนูเนื้อสัตว์ไม่ติดหนัง หรือเลือกเมนูที่ใช้การต้ม นึ่ง ยำ ย่าง แทนการผัดและทอด เป็นต้น
3.ดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8 แก้ว
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันจะช่วยให้ช่วยส่งเสริมด้านความจำ อารมณ์ และการทำงานของสมอง รวมถึงช่วยลดความเครียดลงได้ ในทางตรงข้าม หากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้สมองกระตุ้นการสร้าง ฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่จะทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษายังค้นพบอีกว่า หากดื่มน้ำเพิ่มประมาณ 1 แก้วใหญ่ (300 มิลลิลิตร) จะมีส่วนช่วยในเรื่องความจำระยะสั้นได้ และหากดื่มน้ำมากขึ้นเป็นวันละ 12 แก้ว จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองของร่างกาย ความจำระยะสั้นและจิตใจ

นอกจากนี้ หากนำคนที่ดื่มน้ำอย่างเพียงพอมาเปรียบเทียบกับคนที่ดื่มน้ำน้อย จะพบว่า คนที่ดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะมีอารมณ์ที่ดีกว่าคนที่ดื่มน้ำน้อย เช่นเดียวกับคนที่มีการนอนหลับที่ดี ยังไม่หมดแค่นั้นนะเพื่อนๆ การดื่มน้ำเยอะๆ ยังช่วยป้องกันท้องผูกได้อีกด้วย ดังนั้น คนวัยทำงานอย่าลืมดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว หรือ 1.5 ลิตรต่อวัน โดยอาจพกน้ำขวดใหญ่และจิบไปเรื่อย ๆ ตลอดวัน หรือตั้งนาฬิกาเตือนให้หมั่นดื่มน้ำในทุก ๆ ชั่วโมงก็ได้เช่นกัน โดยดื่มน้ำเปล่าก็จะดีที่สุด
สำหรับคนที่ชอบเครื่องดื่มที่มีรสชาติควรเลือกดื่มเป็นเครื่องดื่มหวานน้อย เครื่องดื่มสูตรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ชาเขียวสูตรหวานน้อย ชาเขียวสูตรไม่มีน้ำตาล น้ำอินฟิวส์ (Infused Water) หรือน้ำแช่ผลไม้ ที่จะช่วยให้น้ำมีกลิ่นหอมของผลไม้เมื่อดื่ม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดื่มน้ำให้เพียงพอได้เช่นกัน

4.ถ้าต้องทำงานยาวให้หาอะไรรองท้องสักหน่อย
สำหรับคนวัยทำงานที่มีงานด่วนทำให้ต้องเลิกงานช้า หรือติดประชุมจนค่ำ อาจจะมีอาการหิวมากๆ ในช่วงเย็น ซึ่งจะส่งผลทำให้กินอาหารมากกว่าปกติ ดังนั้น หากรู้ว่าตัวเองต้องมีประชุมหรือต้องทำงานยิงยาวกว่าปกติ อาจเตรียมเลือกซื้อของว่างติดไม้ติดมือไว้แก่หิวสักหน่อย โดยเลือกของว่างที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยแก้หิวได้ เช่น เครื่องดื่มธัญพืช ผลไม้รสหวานน้อย นม ผลิตภัณฑ์จากนม หรือนมถั่วต่างๆ เนื่องจากของว่างเหล่านี้นอกจากจะมีสารอาหารที่หลากหลายแล้ว ยังช่วยให้อยู่ท้องไม่ต้องกลัวหิวระหว่างประชุมหรือระหว่างทำงานอีกด้วย
5.พักเบรกเคลื่อนไหว คลายปวดเมื่อย
การทำงานของพนักงานออฟฟิศในปัจจุบัน คือ การนั่งพิมพ์งานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่ค่อยได้ขยับตัวไปไหน และยังต้องเพ่งสายตาไปที่หน้าจอจนอาจทำให้รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายหรือสายตาล้าได้ ดังนั้น เมื่อเกิดอาการปวดเมื่อยตามตัว ก็ควรขยับร่างกายหรือยืดเส้นยืดสาย เช่น ท่ายืดไหล่ โดย การยืดแขนข้างหนึ่งไปทางด้านข้างทำมุม 45 องศา แล้วใช้แขนอีกข้างพับแขนขึ้นมาหาตัว ดึงแขนให้ตึงที่สุดเพื่อยืดเส้นบริเวณหัวไหล่ แล้วหันหน้าไปฝั่งตรงกันข้ามแขน ค้างไว้ประมาณ 10-20 วินาที และท่าท่ายืดกล้ามเนื้อคอ โดยยกแขนขวาแล้วโอบไปจับที่หูข้างซ้าย แล้วค่อย ๆ เอียงคอไปทางขวาจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อคอตึง แล้วค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที จากนั้นเปลี่ยนสลับข้างอีก 5-10 ครั้ง เป็นต้น

ไม่ยากเกินไปใช่มั้ยเพื่อนๆ สำหรับ 5 เทคนิคที่นำมาฝาก อยากให้เพื่อนๆ ลองนำไปทำดูนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดี เพราะถ้าเราสุขภาพแย่งานที่ทำออกมามันก็อาจจะแย่ตามไปด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)