เพื่อนๆ คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพกันมากขึ้น เพราะโควิด-19 เป็นไวรัสที่แพร่ระบาดได้ง่าย และหากสุขภาพไม่แข็งแรง ก็อาจทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีโอกาสสูงที่จะมีอาการรุนแรง และอาจจะถึงกับเสียชีวิตได้ด้วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวใน 7 กลุ่มโรคเสี่ยง อาทิ โรคเบาหวาน ความดัน และหัวใจ

เพราะเหตุนี้ หลายคนเลยหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน การกิน การซื้อสินค้า การทำงาน หรือการเรียน รวมไปถึงการเลือกที่อยู่อาย โดยเฉพาะการเลือกอยู่อาศัยที่ปัจจุบันหลายคนหันมาเลือกที่อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพของตัวเองมากขึ้น
จากผลสำรวจของ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุดพบว่า ผู้บริโภค 93% ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน ที่จะช่วยผสมผสานไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเข้ากับบ้านที่เป็นสถานที่พักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยที่อยู่อาศัยในอุดมคติจะต้องมาพร้อมกับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนในการอยู่อาศัยในระยะยาว

ความต้องการที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้เทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างจุดต่างในการดึงดูดผู้บริโภคมากกว่าการแข่งขันสงครามราคาที่อาจจะดูฉาบฉวยในสายตาผู้ซื้อตอนนี้
สำหรับเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นหลังโควิด-19 สิ้นสุดลง ซึ่งจะกลายเป็นยุค Next Normal ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสนใจต้องการที่อยู่อาศัยที่ดี เพราะยกระดับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ประกอบด้วย 4 ลักษณะสำคัญ ดังนี้

1.บ้านต้องประหยัดพลังงาน
การ Work from Home ทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่ทำงาน/เรียนออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและกลายเป็นค่าไฟที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน โดยมากกว่าครึ่งต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า
2.มีนวัตกรรมในการดูแลสุขภาพ
การที่ผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่ชัดเจนที่สุดหลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดฯ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรรมมาช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพให้ง่ายขึ้น แม้ในช่วงที่ยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการดูแลสุขภาพแบบออนไลน์ รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่ช่วยให้เข้าถึงการตรวจรักษาและรับการวินิจฉัยจากแพทย์ได้โดยตรง

3.พื้นที่พร้อมรองรับ Work from Home
แม้การทำงานที่บ้านจะไม่ใช่เรื่องใหม่ และอาจกลายเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง หลังจากการแพร่ระบาดหมดไป แต่การลงทุนสร้างห้องทำงานไว้ที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นของทุกคน ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในบ้าน/คอนโดฯ จึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับการ Work from Home และอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
4.มีจุดชาร์จรถไฟฟ้า
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยลดการเกิดมลพิษแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่าย รถยนต์ไฟฟ้ายังถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอีกด้วย ซึ่งจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 (64%) มองว่า การมาของรถยนต์ไฟฟ้ามีอิทธิพลในการเปลี่ยนแผนการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยผู้บริโภคจะให้ความสนใจพิจารณาบ้าน/คอนโดฯ ที่รองรับการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือมีสถานีชาร์จให้บริการในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อรองรับการวางแผนเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ดีดีพร็อพเพอร์ตี้