การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะพนักงานหรือแรงงานที่ทำงานในหน่วยงานต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตปกติใหม่ อย่างเช่นการ Work from Home ซึ่งเเชื่อว่าตอนนี้เพื่อนๆ น่าจะใช้ชีวิตแบบอยู่ และนอกเหนือจากเรื่องการทำงานจากที่บ้านแล้ว “คนทำงาน” ยังมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอีกหลายเรื่อง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไปในอนาคต

ส่วนการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคตจะมีทิศทางเป็นอย่างไร สามย่านมิตรทาวน์ มีผลวิจัยล่าสุด จากจ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) ที่ได้ร่วมมือกับบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (Boston Consulting Group) และ เดอะ เน็ตเวิร์ก (The Network) มาเล่าให้ฟัง หลังจากได้มีการสำรวจ “Decoding Talent Survey” เกี่ยวกับทิศทางความต้องการของกลุ่มคนทำงานในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจกว่า 200,000 คน ใน 190 ประเทศ จาก 20 กลุ่มอาชีพ ซึ่งจัดทำขึ้นในช่วงปลายปี 2020 เพื่อศึกษาเทรนด์ของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปในหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19
จากแบบสำรวจดังกล่าว พบข้อมูลที่น่าสนใจของตลาดคนทำงานในประเทศไทยที่เปลี่ยนไป ดังนี้
1.ค่าตอบแทนมาก่อน (Financial Compensation)
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ ทำให้คนทำงานให้ความสำคัญกับค่าตอบแทนมากที่สุด มากกว่าความดุล จากก่อนช่วงโควิด-19 คนทำงานให้ความสำคัญกับสมดุลในชีวิต (Work Life Balance) มากที่สุด ต่างจากผลสำรวจในปี 2018 ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับค่าตอบแทนเป็นอันดับที่ 5

2.ทำงานแบบผสมเป็นนอร์มอล (Flexibility)
คนทำงานในประเทศไทยมีความต้องการที่จะทำงานแบบผสมผสานระหว่างการทำงานระยะไกลและทำงานที่ออฟฟิศ คิดเป็น 73% จากทั้งหมด และอีก 20% มีความต้องการที่จะทำงานระยะไกลเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปของคนทำงานที่เริ่มมองหาไลฟ์สไตล์การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid) มากยิ่งขึ้น จึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญกับ “การทำงานแบบยืดหยุ่น” (Flexibility) เพื่อรับกับสถาการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
3.ให้คุณค่ากับสังคม (Value-based Workplace Culture)
แรงงานในยุคปัจจุบันเริ่มมีการแสวงหาองค์กรที่มีวัฒนธรรมในการทำงานที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยในช่วงปีที่ผ่านมาคนทำงานส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการทำงาน ดังนั้น จากผลการสำรวจพบว่า ภาพรวมกลุ่มคนทำงานในประเทศไทยมีแนวโน้มให้ความสนใจในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมสูงถึง 70% ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ (Gen Z) 53% จะไม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่ไม่มีนโยบาย CSR ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

4.เปิดรับยุคดิจิทัล (Digital Tools)
เมื่อต้องทำงานแบบ “Work from Home” กันมากขึ้นก็ต้องใช้ “เครื่องมือดิจิทัล” เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนทำงาน ให้สามารถทำงานและสื่อสารกันได้เหมือนกับการทำงานที่ออฟฟิศ โดยเครื่องมือดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในทุกอุตสาหกรรม คือ อีเมล (E-mail) ระบบการประชุมทางไกล (Teleconference) ระบบคลาวด์ (Cloud) เป็นต้น
5.ยอมรับความหลากหลายในองค์กร (Diversity)
เรื่อง“ความหลากหลาย” (Diversity) กำลังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่อง เพศ อายุ เชื้อชาติ สังคม โดยผลสำรวจพบว่า 91% ของตลาดแรงงานไทยให้ความสำคัญกับความหลากหลายในองค์กร โดยเฉพาะคนทำงานรุ่นใหม่ ซึ่งสูงกว่าตลาดแรงงานทั่วโลกที่ให้ความสำคัญในด้านนี้เพียง 68% และคนทำงานกว่า 63% ไม่ประสงค์ที่จะร่วมงานกับองค์กรที่มีการปิดกั้นเรื่องความหลากหลาย

6.ติดปีกทักษะใหม่ เพื่อโอกาสงานที่ดีกว่า (Upskill)
คนทำงานในประเทศไทยยินดีที่จะฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งงานใหม่สูงถึง 83% โดยพบว่าสายงานช่างและการผลิตเต็มใจที่จะเข้ารับการฝึกอบรม 100% ตามมาด้วยสายงานด้านสื่อและข้อมูลข่าว 88% และด้านการขาย 87% และเป็นที่น่าสนใจว่าคนทำงานในสายงานด้านดิจิทัลและออโตเมชั่นเป็นกลุ่มงานที่พนักงานอยากฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งงานใหม่น้อยที่สุด คิดเป็น 67% นอกจากนี้ ยังพบว่าอุตสาหกรรมที่คนทำงานอยากเปลี่ยนงานไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมไอทีและเทคโนโลยี 60% การสื่อสารการตลาด 40% กลุ่มงานด้านที่ปรึกษา และอุตสาหกรรมสรรหาบุคลากร ที่ 13% เท่ากัน
7.เปิดกว้างสู่ช่องทางใหม่ในการอัพสกิล (New Channel)
คนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะทักษะเดิม (Reskill) และเรียนรู้ทักษะใหม่ (Upskill) ให้พร้อมสำหรับตลาดแรงงานปัจจุบันที่มีอัตราการแข่งขันสูง และเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยจากผลสำรวจพบว่า กว่า 72% ของคนทำงานในประเทศไทยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดหากเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง

โดยวิธีการเรียนรู้ยอดนิยมในปี 2020 ได้แก่ การฝึกอบรมขณะทำงาน (On-the-job training) คิดเป็น 82% การเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Study) คิดเป็น 71% การเรียนรู้ผ่านแอปพลิเคชัน (Mobile Apps) คิดเป็น 51% และสถาบันการศึกษาออนไลน์ (Online Educational Institutions) คิดเป็น 48% ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า การเรียนรู้ผ่านสถาบันการศึกษาออนไลน์มีการเติบโตสูงขึ้น