หลังเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและทั่วโลก ประกอบกัการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะการเลือกที่อยู่อาศัยที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการของคนได้หลายช่วงอายุ เพราะต่อไปบ้านหนึ่งหลังจะมีคนถึง 4 เจเนอเรชั่นมาอยู่รวมกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้บ้านต้องมีพื้นที่มากพอสำหรับการอยู่อาศัย เพราะบ้านจะไม่ได้เป็นแค่การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่จะเป็นพื้นที่ทำงาน พื้นที่เรียนหนังสือออนไลน์ และอื่นๆอีกมากมาย

แนวโน้มดังกล่าวทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ของการอยู่อาศัย ซึ่งจากการวิจัยข้อมูลของ LPN Wisdom เกี่ยวกับแนวโน้มและทิศทางการออกแบบที่อยู่อาศัยในปี 2564 พบว่า มี 3 แนวโน้มที่สำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบัน ดังนี้
1.การออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น
จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2563 ของ LPN Wisdom พบว่ากว่า 62% ของผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานจากทำงานที่สำนักงานมาทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยต้องตอบโจทย์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ต้องมีการออกแบบพื้นที่เอนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ทำงาน ออกกำลังกาย และการทำงานอดิเรก พื้นที่รับ-ส่งพัสดุ เช่นเดียวกับการออกแบบบ้านพักอาศัย ที่ต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่อเนกประสงค์ภายในบ้าน เพื่อรองรับกับการทำกิจกรรมต่างๆ

นอกจากนี้ การออกแบบพื้นที่บ้านพักอาศัยและคอนโดมิเนียมยังต้องตอบโจทย์กับคนทุกวัย (Universal Design) เพราะประเทศไทยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เช่น การออกแบบที่ต้องมีห้องนอนผู้สูงอายุที่ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น การใช้ประตูบานเลื่อนแทนประตูบานเปิดภายในห้องนอนและห้องน้ำ การออกแบบบ้านที่ไม่มีการลดระดับภายในบ้าน การใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่จะต้องป้องกันหรือลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นและช่วยส่งเสริมสุขภาวะที่ดี เช่น พื้นยางกันกระแทก ระบบไฟเปิด-ปิดอัตโนมัติ ราวจับติดผนังในห้องน้ำ เป็นต้น

2.ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในการอยู่อาศัย (Health)
จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และปัญหามลภาวะทางอากาศอย่าง ฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้น ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยทั้งบ้านพักอาศัยและคอนโดมิเนียมต้องคำนึงถึงระบบการไหลเวียนของอากาศภายในที่อยู่อาศัยโดยการนำเอานวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยให้อากาศหมุนเวียน หรือระบบ Fresh Air Intake ที่จะช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปด้านในอาคาร และไล่อากาศที่มีคุณภาพต่ำกว่าให้ออกมาด้านนอกเพื่อให้อากาศสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารที่ก่อให้เกิดมลพิษ(Toxic) ภายในที่อยู่อาศัย เป็นต้น

3.การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การอยู่อาศัยสะดวกสบายมากขึ้น (Smart Living Technology)
ปัจจุบันเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการออกแบบที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการดูแลที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดของ บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) เป็นการออกแบบที่อยู่อาศัยโดยนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดูแลระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของที่พักอาศัย เช่น การนำระบบตรวจจับความผิดปกติ (AI Sensor Technology) มาติดตั้งเพื่อตรวจจับความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ประปา ของที่อยู่อาศัย เพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา เป็นต้น

นอกจากนี้ การออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีที่ลดการสัมผัส (Touchless) เช่น การใช้ประตูบานเลื่อนเปิด-ปิดอัตโนมัติแทนประตูที่ใช้มือจับ หรือระบบตรวจจับใบหน้าแทนการสแกนนิ้ว เป็นต้น
สำหรับใครที่มีแผนจะสร้างบ้านใหม่ ควรนำ 3 เทรนด์นี้ข้าไปพิจารณาด้วย เพื่อความสุขสะดวกสบายของทุกคนในครอบครัว