ผ่านวันวาเลนไทน์ไปหมาดๆ สามย่านมิตรทาวน์ ก็เลยอยากจะมาแนะวิธีบริหารเงินสำหรับคู่สามีภรรยามือใหม่ป้ายแดง ที่ถึงแม้จะไม่ได้วางแผนการเงินร่วมกันก่อนแต่งงาน แต่ก็สามารถเริ่มต้นวางแผนทางการเงินร่วมกันในตอนนี้ได้ โดยวันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์ธนาคารกรุงศรี มาฝากกกันค่ะ ว่าคุณกับคนรักเหมาะที่จะบริหารเงินสำหรับชีวิตคู่แบบไหนใน 4 แบบต่อไปนี้

แบบที่ 1 ทุกอย่างหาร 2 กระเป๋าใครกระเป๋ามัน
การแยกกระเป๋ากันให้ชัดเจน กระเป๋าใครกระเป๋ามัน แบบนี้จะเหมาะกับครอบครัวรุ่นใหม่ Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่คู่รักที่ใช้วิธีการบริหารเงินภายในครอบครัวแบบนี้ จะติดมาจากตั้งแต่ตอนคบกันเป็นแฟน ต่างคนต่างทำงาน ต่างมีรายได้เป็นของตัวเอง อย่างเช่นเวลาออกไปทานอาหารนอกบ้าน บิลค่าอาหารมาก็หารครึ่งแบ่งกันจ่าย สบายใจดี หรือถ้าไปเดินช้อปปิ้งเลือกซื้อของด้วยกัน เธออยากได้เครื่องสำอางก็จ่ายเอง คุณผู้ชายอยากได้ขาตั้งกล้องก็ควักกระเป๋าซื้อเอง จะเป็นอะไรประมาณนี้
แต่พอมาใช้ชีวิตร่วมกันมันมีรายละเอียดมากกว่านั้น ค่าใช้จ่ายที่ต้องหารร่วมกัน มีตั้งแต่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอาหาร ค่าจิปาถะ ปัญหาที่จะเกิดก็คือ ถ้าของที่ซื้อหามานั้นเกิดโอนเอนไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากกว่า อีกฝ่ายจะรับได้ไหม เช่น ภรรยาอยากได้เครื่องดูดฝุ่นโรบอต แต่สามีไม่เห็นด้วย ถ้าจะมาหารเงินกันก็อาจจะเกิดเป็นปัญหาได้ แต่ถ้าภรรยาเลือกที่จะซื้อด้วยเงินตัวเอง แยกกระเป๋าไปเลย ปัญหาการเงินก็จะไม่เกิดขึ้น แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องของจิตใจตามมา แบบนี้ต้องเคลียร์กันให้ดีๆ

แบบที่ 2 กองกลาง กระเป๋าเดียวกันไปเลย
อาจจะฟังดูเป็นวิธีที่โบราณนิดๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคน Gen X ที่ใช้เงินกระเป๋าเดียวกัน สามีภรรยาหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็นำมารวมกันไว้ที่บัญชีกลาง ส่วนใหญ่ฝั่งสามีมักมีรายได้มากกว่า แต่โดยมากมักเป็นฝ่ายภรรยาที่ถือเงินกองกลางนี้ไว้ และคนที่ถือเงินก็จะมีหน้าที่ชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในบ้าน
แบบที่ 2 นี้ เหมาะกับคู่สามีภรรยาที่ทำธุรกิจร่วมกัน เพราะจะได้มีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งในเรื่องธุรกิจและเงินภายในครอบครัว แม้การบริหารเงินแบบนี้จะหมดปัญหาเรื่องการบริหารค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เพราะทุกอย่างใช้เงินกองกลาง แต่ก็ต้องระวังปัญหาในระยะยาว เกิดระหองระแหงต้องแยกทางกัน จึงควรทำข้อตกลงเรื่องเงินหรือสัญญาแต่งงานเอาไว้ด้วย

แบบที่ 3 มีมากจ่ายมาก มีน้อยจ่ายน้อย
เอาจริงๆแล้ว ไม่มีครอบครัวไหนที่เพอร์เฟ็คหรอกค่ะ บางครอบครัวสามีหรือภรรยาอาจมีรายได้ต่างกันลิบลับ เช่น สามีมีรายได้แสนบาทต่อเดือน ขณะที่ภรรยามีรายได้ 25,000 บาท ความเหลื่อมล้ำทางการเงินภายในครอบครัวจึงเกิดขึ้นแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าคุณเลือกใช้วิธีการบริหารเงินที่ถูกต้อง ซึ่งแบบที่ 3 นี้ น่าจะเหมาะกับครอบครัวประเภทนี้ และยังรวมไปถึงครอบครัวที่ภรรยาไม่ได้ทำงานเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเลี้ยงลูก รายจ่ายทั้งหมดก็จะเป็นหน้าที่สามีไปโดยปริยาย
ปัจจุบันมีครอบครัวจำนวนไม่น้อยนะคะที่ใช้วิธีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะคุยหรือตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่า คนมีรายได้มากก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหลักๆ ไป เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก คนมีรายได้น้อยกว่า ก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร แบบนี้ก็จะลงตัวไม่เกิดปัญหาตามมาที่หลังครับ

แบบที่ 4 กองกลาง 50% ใช้ส่วนตัว 50%
ถือเป็นแบบการบริหารเงินในฝันของทุกครอบครัวก็ว่าได้นะคะ เพราะเป็นกลางและอะลุ่มอล่วยที่สุดแล้ว โดยต่างคนต่างแบ่งเงินรายได้ครึ่งหนึ่งมาเข้าบัญชีกองกลางก้อนหนึ่งที่ใช้เป็นทั้งเงินเก็บ เงินลงทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่เงินรายได้อีกครึ่งหนึ่งก็แบ่งเก็บไว้กับตัวเองเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
วิธีนี้ค่อนข้างใช้ได้ผลกับหลายๆ ครอบครัว เพราะยังมีพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละฝ่ายที่จะใช้เงินที่ตัวเองหามาได้ เนื่องจากบางคู่ความชอบต่างกันลิบลับ จะให้มาใช้เงินร่วมกันหรือซื้อของเหมือนๆ กัน ก็จะฝืนใจกันเกินไป ทำให้ชีวิตคู่เก็บกด และขาดความสุขได้
ชอบวิธีไหนก็ลองเลือกนำไปใช้กันดูนะคะ เพราะการวางแผนการเงินร่วมกันของแต่ละครอบครัวอาจไม่มีสูตรสำเร็จ ซึ่งบางครอบครัวอาจไม่ใช้ทั้ง 4 วิธีนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรที่ตายตัว เมื่อคุณตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว ต้องปรึกษากันและหาทางออกร่วมกัน นำค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกมากางดูว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนคอนโด ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอาหาร เพื่อแจกแจงว่าแต่ละเดือนครอบครัวคุณมีรายจ่ายเท่าไหร่ มีเงินเหลือเก็บเท่าไหร่

เมื่อจัดสรรบัญชีรายรับรายจ่ายของครอบครัวลงตัวแล้ว คุณก็สามารถนำเงินก้อนนั้นมาทำให้งอกเงย ด้วยการลงทุน หรือขยับขยายครอบครัว เช่น จากที่อยู่คอนโดด้วยกัน ก็ขยับขยายเป็นซื้อบ้าน ซื้อรถอีกคัน หรือนำเงินไปลงทุนในกองทุนเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น
นอกจากบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีเงินลงทุน อีกหนึ่งบัญชีที่ควรต้องทำร่วมกันไว้คือบัญชีเงินฉุกเฉิน ความจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างจากบัญชีเงินเก็บฉุกเฉินเมื่อครั้งที่คุณยังโสด ที่ควรต้องเก็บไว้ 6 เท่าของรายได้ เพื่อใช้กรณีฉุกเฉิน เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกงาน หรือเจ็บไข้ได้ป่วยกะทันหัน เป็นต้น เพียงเท่านี้การเงินภายในครอบครัวของคุณก็ลื่นไหลไม่สะดุด ไม่เกิดปัญหาค่าใช้จ่ายเดือนชนเดือน และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ไม่นำไปสู่การเกิดปัญหาภายในครอบครัว