ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2564 กันแล้ว ทุกคนคงมีความตั้งใจเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ หรือสนใจอยากลงทุนอะไรใหม่ๆ กันอยู่แน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น วันนี้ “สามย่านมิตรทาวน์” ขอนำเสนอทางเลือกเกี่ยวกับการทำธุรกิจว่า ธุรกิจไหนทำแล้วรุ่งมากฝาก เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะมีการลงทุนระยะยาว จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่วนจะมีธุรกิจอะไรกันบ้างไปดูกันเลย
ธุรกิจดาวรุ่งมาแรง 10 อันดับ ในปี 2564
1.อันดับหนึ่งมีสองธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการทางการแพทย์ความงาม กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (ที่ซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์)
2.ธุรกิจแพลตฟอร์มตัวกลางหรือตลาดกลาง ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ยูทูปเบอร์ การรีวิวสินค้า
3.ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต ธุรกิจเครื่องมือแพทย์
4.ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา การขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์
5.ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีวิเคราะห์และจัดการข้อมูล บิ๊กเดต้า
6.ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม
7.ธุรกิจสตรีทฟู้ด-ฟู้ดทรัค
8.ธุรกิจขนส่งโลกจิสติกส์โลจิสติกส์ ธุรกิจด้านฟินเทค และธุรกิจพลังงาน
9.ธุรกิจตู้หยอดเหรียญฯ
10.ธุรกิจที่ปรึกษากฎหมาย ธุรกิจออกแบบผลิตบรรจุภัณฑ์
สำหรับธุรกิจดาวร่วง 10 อันดับ ในปี 2564 ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจดั้งเดิม ไม่มีการปรับเปลี่ยนรับเทคโนโลยี ไม่มีการดีไซน์และใช้แรงงานจำนวนมาก ได้แก่
1.ธุรกิจเช่าหนังสือ
2.ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและเครื่องโทรสาร และธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ความจำ อาทิ แผ่น ซีดี เมมโมรี่การ์ด
3.ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และวารสาร
4.ธุรกิจร้านให้บริการอินเตอร์เน็ต และธุรกิจคนกลาง
5.ธุรกิจดั้งเดิมไม่มีดีไซน์ และใช้แรงงานเยอะ (เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น)
6.ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ใช้แรงงานมากและขายในประเทศ และธุรกิจหัตกรรม
7.ธุรกิจซ่อมรองเท้า
8.ธุรกิจการค้าแบบดั้งเดิม และธุรกิจเครื่องปั้นดินเผา และเซรามิก
9.ธุรกิจผลิตผักและผลไม้อบแห้ง
10.ธุรกิจร้านถ่ายรูป
อีกอาชีพที่น่าสนใจและประเมินว่าจะเป็นอาชีพที่ยั่งยืนและมั่นคงในอีก 10 ปีข้างหน้าคือ “ธุรกิจ YouTuber และ การรีวิวสินค้า” โดย “ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “ธุรกิจ YouTuber และ การรีวิวสินค้า” จะเป็นอาชีพที่จะยั่งยืนและมั่นคงไปอีก 10 ปีข้างหน้า โดยอุตสาหกรรม Creative economy ในประเทศพัฒนาแล้วจะมีมูลค่าประมาณ 10% ของจีดีพี ส่วนประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 8% ของ จีดีพี หรือมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งในกลุ่ม Sector ที่เป็น คอนเทนต์ Influencer Youtuber และการรีวิวสินค้า คาดว่าจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 10,000-100,000 ล้านบาท เติบโตถึงสองหลักในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เรายังมีทางเลือกสร้างได้ในช่วงปีใหม่ ที่น่าสนใจอย่างมาก เพื่อเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้เสริมในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 ทำให้ทุกคนสามารถเลือกสินค้ามาขาย เพื่อเป็นเงินออมสำคัญรับต้นปี มาดูกับไอเดียขายสินค้าในช่วงปีใหม่ ได้แก่
1.ตุ๊กตา เนื่องจากมีเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปีเดือนธันวาคม ทั้งเทศกาลคริสมาร์ต ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่มีวาเลนไทน์ ทำให้ของขวัญตุ๊กตาแจกปีใหม่ได้รับความนิยม
2.สินค้าแก้ชง มีทั้ง กำไลข้อมือ พวงกุญแจ หินนำโชค สำหรับพกพาหรือใส่ในกระเป๋าตังค์ ถือเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือน มกราคม ของทุกปี
3.ปฏิทินและ สมุดแพลนเนอร์ เป็นสินค้าที่น่าขายในช่องทางออนไลน์ และเป็นสินค้าที่กลุ่มลูกค้าคนทำงานนิยมเลือกซื้อ และขายดีในช่วงปีใหม่
4.หน้ากากผ้าและสายคล้องหน้ากาก เป็นสิ่งที่จำเป็นปัจจัยที่ 6 ในชีวิตประจำวันของทุกคน ที่ต้องใช้ในทุกวัน ในการป้องกันโควิด-19 รวมถึงสิ่งของที่เกี่ยวกับการซัก การจัดเก็บหน้ากากผ้าก็ได้รับความนิยมมาก
5.เสื้อผ้ากันหนาวมือสอง เป็นสินค้าที่ขายดีในช่วงปีใหม่ที่เข้าสู่หน้าหนาว ทำให้มีเสื้อผ้ากันหนาวขาย
6.ขนมคุกกี้ เบอร์เกอรี่ เป็นขนมที่ครองใจที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อให้แก่กันเป็นของฝากในช่วงปีใหม่
7.ฟิล์มมือถือ เนื่องจากผู้บริโภคจะเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตนเองจึงต้องใช้บริการติดฟิล์มใหม่ๆ ที่ดีและมีคุณภาพ
8.เคสมือถือ เป็นสินค้าที่ได้ขายดีควบคู่กับฟิล์มมือถือ เพราะลูกค้าอยากเปลี่ยนแปลงเคสมือถือใหม่
9.ของตกแต่งบ้าน ถือเป็นของมงคลที่นิยมมอบให้แก่กันในช่วงปีใหม่
10.การเปิดท้ายขายของ เป็นอีกช่องทางทำเงินที่สามารถ นำของใช้ส่วนตัวสภาพที่ดีและไม่ได้ใช้สามารถนำมา Live ในช่องทาง Social และช่องทางตลาดนัดได้เช่นกัน
เป็นอย่างไรกันบ้าง ใครที่อยากลงทุน สร้างงาน หารายได้เพิ่มรับทรัพย์รับปีใหม่ก็ควรศึกษาข้อมูลหลายๆ ด้าน เพื่อให้มั่นใจที่สุด หรือเริ่มจากสิ่งทำจากกิจการเล็กๆ เป็นเอสเอ็มอี ก่อนขยายธุรกิจให้ใหญ่โตในระยะยาว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้ปี 2564 นี้เป็นปีที่ดีของเพื่อนๆ ทุกคน “มีงาน มีเงินและมีทรัพย์เยอะๆ ละกันนะคะ”
ขอบคุณข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย , TNN และ ไทยรัฐ
