หลายคนคงเข้าใจกันว่า โรคยอดฮิตที่มักจะเป็นกันมากในช่วงฤดูฝนเป็นโรคไข้เลือดออก และมี “ยุงลาย” เป็นพาหะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกโรคที่ฮิตในหน้าฝนไม่แพ้กัน และยุงลายนี่แหละเป็นตัวพาเชื้อโรคมา นั่นคือ “โรคชิคุนกุนยา” หรือ “โรคไข้ปวดข้อยุงลาย”
มีข้อมูลที่น่าสนใจจากแพทย์หญิงขวัญนุช ศรีกาลา กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี เกี่ยวกับ “โรคชิคุนกุนยา” มาฝากกัน
โรคชิคุนกุนยา หรือ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส Chikungunya Virus ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า เพียงครึ่งปีแรกของปี 2563 พบผู้ป่วยเกือบ 2,000 รายเลยทีเดียว นอกจากนี้พื้นที่การแพร่ระบาดมีการขยายในวงกว้างมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่ป่วยยังพบได้ในทุกช่วงอายุอีกด้วย โดยจะพบมากที่สุดในช่วงอายุ 25-34 ปี

อาการของโรคชิคุนกุนยา
จะมีไข้สูงอย่างฉับพลัน อ่อนเพลีย ปวดหัว ข้ออักเสบ ปวดตามข้อมือ ข้อเท้า ข้อต่อแขนขา โดยจะปวดไล่ไปเรื่อย เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ข้อต่อบวม เข่าและข้อต่อไม่มีแรง จนไม่สามารถขยับได้ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ คันหรือมีผื่นขึ้นตามตัว ตาแดง
หากพบว่า มีอาการข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยห้ามทานยาลดไข้แอสไพริน (Aspirin) เป็นอันขาด เนื่องจากจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น

ความแตกต่างระหว่างโรคชิคุนกุนยา-ไข้เลือดออก
แม้ว่าจะเป็นโรคที่ติดต่อจากยุงลายเหมือนกัน มีความรุนแรงเหมือนกัน และอาจมีอาการคล้ายโรคไข้เลือดออกบ้าง แต่จะมีบางอาการที่พบได้เฉพาะในโรคชิคุนกุนยาเท่านั้น และจะไม่อันตรายเท่าโรคไข้เลือดออก ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- โรคชิคุนกุนยาจะไม่มีเกร็ดเลือดต่ำจนมีเลือดออกรุนแรงอย่างโรคไข้เลือดออก
- โรคชิคุนกุนยาจะไม่มีผนังเส้นเลือดฝอยผิดปกติจนทำให้มีน้ำเลือดรั่วออกนอกเส้นเลือด ซึ่งทำให้ความดันโลหิตต่ำ จนผู้ป่วยเกิดอาการช็อค อย่างโรคไข้เลือดออก
- แม้ว่าโรคชิคุนกุนยาจะถือว่าเป็นโรคที่มีความรุนแรง แต่โรคนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างโรคไข้เลือดออก แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตามข้อทรมาน ซึ่งอาจปวดนานเป็นเดือนหรือเป็นปีก็มี

การรักษาโรค
โรคชิคุนกุนยา ยังไม่มีการรักษาที่จำเพาะ การรักษาจึงทำได้แค่รักษาตามอาการ เพื่อลดอาการของผู้ป่วย เช่น การใช้ยาลดไข้หรือยาแก้ปวด เช็ดตัว พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และป้องกันไม่ให้ยุงกัด เพราะฉะนั้นการป้องกันจึงสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ ต้องหมั่นดูแลให้บริเวณรอบบ้าน ไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ดูแลตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี